ต้นกำเนิดของหินและแร่ธาตุต่างๆ
หิน
จากที่กล่าวมาแล้วว่าบนพื้นผิวโลกมีดินปกคลุมอยู่เป็นชั้นบาง ๆ และจากการศึกษาผิวดินและหน้าตัดดินพบว่าส่วนประกอบที่เป็นของแข็งในดิน ส่วนใหญ่จะเป็นหิน กรวด ทราย ใต้ชั้นดินลงไปจะเป็นส่วนแข็งของพื้นผิวโลกที่ประกอบด้วยหินและแร่ เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับหินและแร่จึงควรศึกษาถึงลักษณะทั่วไป กระบวนการเกิด ชนิดและการนำหินและแร่ไปใช้ประโยชน์
ลักษณะทั่วไปของหิน
หินเป็นวัสดุธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกที่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำและตามเพิงผาธรรมชาติ โดยกะเทาะหินให้มีเหลี่ยมคมเพื่อใช้เป็นอาวุธ เรียกว่าหินกะเทาะ และให้กินขัดถูกันให้เกิดประกายไฟเพื่อใช้ในการก่อไฟ เป็นต้น จึงเรียกมนุษย์ในสมัยนั้นว่ามนุษย์ยุคหิน ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักพัฒนาเทคโนโลยีสูงขึ้น จึงได้นำหินมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อาคาร และศาสนสถานต่าง ๆ ตลอดจนดัดแปลงทำเครื่องใช้ เครื่องประดับ ปัจจุบันมนุษย์ก็ยังใช้ประโยชน์จากหินอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้หินปูนผสมปูนซีเมนต์ในการก่อสร้าง ใช้หินแกรนิต หินอ่อนปูพื้นบ้าน ตกแต่งอาคาร ใช้หินทราย หินดินดาน หินชนวนปูสนาม และใช้หินปูนทำรากฐานของถนน เป็นต้น
1.หินตะกอน
การเกิดหินตะกอน
จากการศึกษาจากสมบัติการละลายของตะกอน พบว่าเมื่อนำตะกอนชนิดต่าง ๆ ใส่ลงในน้ำ ตะกอนเนื้อละเอียดที่อ่อนนุ่มจะหลุดร่วงออกเป็นบางส่วน? เศษหิน กรวด ทรายจะตกตะกอน? ส่วนซากพืช หรือเศษไม้? อาจจมหรือลอยอยู่บนผิวน้ำก็ได้? สิ่งต่าง ๆที่แขวนลอยในน้ำจะเกิดการตกตะกอน ในธรรมชาติกระบวนการที่สำคัญในการเกิดหินตะกอนคือ การกัดกร่อน การผุพัง การพัดพา การสะสมตัวหรือการตกตะกอน และการแข็งตัวกลายเป็นหิน กล่าวคือหลังจากที่หินถูกกัดกร่อนผุพังกลายเป้นตะกอน? ต่อมาน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง? พัดพาตะกอนเหล่านั้นไปตามความลาดชันของพื้นที่? จากภูเขาลงสู่ที่ราบตามแม่น้ำ ลำคลอง ทะเล และมหาสมุทร เป็นต้น จนกระทั่งการพัดพาสิ้นสุดลงเนื่องจากความเร็วหรือพลังงานในการพัดพาลดลง ทำให้ตะกอนเหล่านั้นตกสะสมตัวตามสภาพแวดล้อมของบริเวณนั้น และมีการสะสมทับถมในระยะเวลานาน ตะกอนที่ทับถมกันมีความหนามากขึ้น? น้ำหนักของตะกอนที่ทับถมกันทำให้ตะกอนอัดตัวแน่นมากขึ้น และสารที่แทรกอยู่ระหว่างรูพรุนของเม็ดตะกอนจะช่วยเชื่อมตะกอนให้ยึดติดกัน จนในที่สุดตะกอนทับถมแข็งตัวกลายเป็นหิน
2.หินอัคนี
การเกิดหินอัคนี
สารต่าง ๆที่หลอมเหลวอยู่ใต้โลก? จะมีลักษณะเป็นหินหนืด เรียกว่า แมกมา (magma) มีอุณหภูมิสูง? แมกมาจะดันตัวแทรกขึ้นมาจนถึงระดับหนึ่งภายใต้เปลือกโลกซึ่งอยู่ในสภาวะที่อุณหภูมิลดลง? แมกมาจะถ่ายโอนความร้อนไปยังบริเวณรอบ ๆ? เกิดการเย็นตัวและแข็งตัวอย่างช้า ๆ เกิดเป็นผลึกแร่ขนาดใหญ่? ทำให้หินมีเนื้อผลึกหยาบ? โดยทั่วไปจะมีแร่หลายชนิดสอดประสานเกาะกันแน่น? เนื้อหินมีลักษณะแน่นแข็ง? เป็นหินอัคนีแทรกซอน? ได้แก่ หินแกรนิต หินไดออไรต์ หินแกบโบร เป็นต้น
3.หินแปร
ความร้อนและความดันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หินเปลี่ยนสภาพจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง? สาเหตุอื่นที่ทำให้หินแปรสภาพได้? ได้แก่? การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก? การกดทับของชั้นหินที่อยู่ด้านบน? ส่งผลให้เกิดความร้อนและความดันสูง และการมีของเหลวแทรกซึมเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับหินในบริเวณนั้น สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ส่งผลให้หินถูกแรงกระทำในทิศทางต่าง ๆ ทำให้เนื้อหินเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น แร่เดิมที่อยู่ในหินอาจมีการเรียงตัวใหม่ในแบบขนานกันและปรากฏขึ้นเป็นริ้วขนาน (Foliation) เป็นแถบเป็นลายสลับสี หรือการตกผลึกใหม่ เนื่องจากถูกแรงกดดันและอุณหภูมิสูง กลายเป็นแร่ชนิดใหม่ เป็นต้น หินที่มีการแปรสภาพดังกล่าวข้างต้นนี้เรียกว่า หินแปร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น